วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553









ระวัง! ตัวร้ายในสำนักงาน เลเซอร์พรินต์ อันตรายต่อสุขภาพ

ทีม นักวิทยาศาสตร์ในออสเตรเลียพบว่า เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ที่ใช้พิมพ์งานในสำนักงานนั้น เป็นอันตรายต่อปอดของคนทำงานได้พอๆกับอนุภาคควันจากการสูบบุหรี่ จากการเฝ้าสังเกตตรวจตราเครื่องเลเซอร์พรินเตอร์หลายรุ่นแสดงว่าเกือบ 1 ใน 3 ของเครื่องนั้นปล่อยระดับหมึกที่เป็นอันตรายออกมาสู่อากาศรอบข้าง ทีมนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ เรียกร้องต่อรัฐบาลให้ออกกฎควบคุมการฟุ้งกระจายของหมึกจากเครื่องพรินเตอร์ อย่างจริงจัง และเสนอว่าเครื่องพรินเตอร์บางชนิดน่าจะมีการติดป้ายเตือนภัยเกี่ยวกับ สุขภาพ
นัก วิจัยกลุ่มนี้ได้ทำการทดสอบเครื่องพรินเตอร์ ต่างๆ กว่า 60 เครื่อง พบว่าเกือบ 1/3 นั้นมีการปล่อยอนุภาคหมึกขนาดเล็กจิ๋วออกมา มันมีขนาดเล็กมากจนสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดได้ และเป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ ไปจนถึงการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ใน การทดสอบกระทำขึ้นภายในสำนักงานแบบเปิด และพบว่าอนุภาคนั้นเพิ่มขึ้น 5 เท่าระหว่างชั่วโมงทำงาน ซึ่งสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากการใช้เครื่องพรินเตอร์นั่นเอง ปัญหาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนหมึกพิมพ์ใหม่ และมีการเรียกใช้งานพิมพ์ภาพกราฟฟิกที่มีปริมาณการใช้หมึกพิมพ์สูง นอกจากจะเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ออกกฎควบคุมแล้ว นักวิจัยยังต้องการให้ บริษัทห้างร้านจัดวางเครื่องพรินเตอร์ไว้ในบริเวณ ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อให้อนุภาคดังกล่าวสลายไป

แนะบริโภคผักสมุนไพร ต้านภัยหวัด


โดยสมุนไพรที่ว่านี้ สามารถหาได้จากทรัพยากรในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งนอกจากจะรักษาโรคด้แล้ว ยังเป็นการรักษาอย่างแท้จริงจกภายใน
ผัก พื้นบ้านและสมุนไพรไทย นับเป็นภูมิปัญญาไทยชั้นเลิศที่ช่วยรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ห่าง ไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น ในยุคที่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดไปทั่ว แถมยังไม่มีวัคซีนป้องกัน รศ.ดร.พร้อมจิต ศรลัมพ์ เภสัชกรหญิงแห่ง ม.มหิดล จึงออกมาแนะนำให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่มีอยู่ แล้ว โดยนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง และยังต้านภัยไข้หวัดได้อีกต่างหาก
รศ.ดร. พร้อมจิตเผยว่า คนไทยเรานั้นโชคดีที่มีความหลากหลายทางทรัพยากรและภูมิปัญญา ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งนี้ เป็นเพราะเราไม่รู้จักมาก่อน และร่างกายเราเองก็ไม่รู้จัก ในทางทฤษฎีการแพทย์แผนไทยเน้นการป้องกันก่อนเกิดโรค การบริโภคพืชผักและสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรค (แอนตี้ออกซิเดนท์) จึงถือเป็นการป้องกันจากภายใน โดยเข้าไปช่วยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับเม็ดเลือดขาว ซึ่งคนโบราณมีวิธีแยกความแตกต่างและคุณประโยชน์ของผักและสมุนไพรพื้นบ้าน จากสี กลิ่นและรสชาติ อาทิ หอมแดง จะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ส่วนผักที่มีรสเปรี้ยว ฝาด จะมีกรดวิตามินซีสูง เพิ่มความต้านทานไข้หวัด
สำหรับ พืชผักที่ควรนำมาบริโภคในช่วงไข้หวัดระบาดนี้ ได้แก่ กลุ่มผักมีสี อาทิ กระเจี๊ยบแดง มะเขือเทศ มะละกอ กลุ่มที่มีกลิ่นหอม อาทิ หอมแดง กระชาย มะตูม กลุ่มที่มีรสเปรี้ยว อาทิ สมอ มะขามป้อม ส่วนที่มีรสเผ็ดร้อน อาทิ ขิง ขมิ้น โหระพา กะเพรา กลุ่มที่มีรสฝาด อาทิ สมอไทย สมอพิเภก ชาเขียว สำหรับรสขม ได้แก่ สะเดา เพกา ซึ่งมีวิตามินซีสูงมาก และเมนูที่น่าจะเป็นที่ถูกใจแม่บ้านยุคใหม่ที่คำนึงถึงเรื่องความสวยความงาม ของร่างกาย คือกลุ่มเมนูยำผักสมุนไพรต่างๆ เพราะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ที่สำคัญใช้เวลาในการปรุงไม่มาก แถมให้รสชาติถูกปาก คือมีรสเปรี้ยว หวาน เค็ม กลมกล่อม ซึ่งควรจะ บริโภคเมนูยำผักสมุนไพรเป็นประจำทุกวัน เพราะนอกจากจะมีวิตามินซีสูงต้านทานไข้หวัดแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ลดการเกิดมะเร็ง อันจะเป็นผลดีในระยะยาว

กินแครอทดีอย่างไร
แครอทเป็นพืชกินหัวที่มีปลูกมากในประเทศไทย
และเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว แครอท เกิดในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง ออกดอกราวเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ดอกแตกเป็นชั้นคล้ายร่ม ชั้นนอกสีชมพู ตรงกลางสีม่วงแดง แครอทสมัยโบราณมีเนื้อแข็ง เสี้ยนเยอะเหมือนไม้ สีของหัวแครอทมีตั้งแต่สีเหลืองไปจนถึงสีม่วง แต่แครอทสีส้มที่รับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นแครอทที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์เมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง
แครอท ได้ชื่อว่าอุดมไปด้วย เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินชนิดอื่นหลากหลายชนิดและใยอาหาร สารอาหารในแครอทจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง บำรุงสายตา ผิวพรรณ และระบบประสาท ช่วยปรับภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานดีขึ้น มีแคลเซียมเพคเตท ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ลดการเกิดโรคหัวใจ และภาวะหัวใจล้มเหลว ช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนังและเส้นผมให้มีสุขภาพดี มีวิตามินเอสูง ช่วยลดการเสื่อมของตา เช่น ต้อกระจกมีสารต่างๆ ที่เป็นทั้งเกลือแร่ และวิตามินอีกมากมาย เช่นธาตุแคลเซียม มีฟอสฟอรัส เหล็ก มีวิตามินเอ บี 1 บี 2 และวิตามินซี ถ้าจะรับประทานแครอทให้ได้คุณค่าทางอาหารสูงสุด ควรปรุงให้สุกก่อนจะนำมารับประทานครับ เพราะแครอทมีผนังเซลล์ที่แข็ง ถ้าหากรับประทานดิบๆ จะได้รับประโยชน์ไม่มากเท่าที่ควร เพราะร่างกายได้รับสารเบต้าแคโรทีนไม่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ การทำให้สุกก่อนรับประทานทำให้ผนังเซลล์ที่แข็งสลายตัวลง ทำให้ร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนได้อย่างเต็มที่ และถ้าจะให้ได้คุณค่าอย่างครบถ้วน ควรกินแครอทร่วมกับอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ จะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารเบต้าแคโรทีนได้มากกว่าครึ่ง เพราะเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน

เคี้ยวข้างเดียวนานๆ เป็นไรหรือไม่




การที่เรามีฟันครบอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ก็สามารถทำให้เราเคี้ยวอาหารได้ดีละเอียดขึ้น จะทานอะไรมันก็อร่อย ระบบบดเคี้ยวที่ดีต้องมีความสมดุล ซึ่งจะสัมพันธ์กันแค่ ฟัน ขากรรไกร และกล้ามเนื้อที่ขยับขับเคลื่อนขากรรไกร ถ้าอย่างหนึ่งอย่างใดผิดปกติ ระบบบดเคี้ยวก็เสียหายด้วย การเคี้ยวข้างเดียวก็เป็นประเด็นหนึ่งที่โยงไปถึงการด้อยประสิทธิภาพในการบด เคี้ยวและมีผลข้างเคียงหลายๆอย่าง

ทำไมถึงเคี้ยวข้างเดียว
1. มีปัญหาที่ตัวฟันข้างนั้น เคี้ยวแล้วเศษอาหารติด,เคี้ยวแล้วเจ็บ จึงย้ายไปเคี้ยวอีกข้าง,ฟันผุที่ไม่ได้อุด,ฟันที่เป็นโรคเหงือกอักเสบ,โยก คลอน,ฟันร้าว,ฟันแตก,ฟันเหลือแค่ราก ลักษณะอย่างนี้ที่ทำให้ฟันทำหน้าที่ไม่เต็มที่ คนใช้จึงโยกการเคี้ยวไปอีกข้าง
2. บริเวณข้างนั้นไม่มีฟัน หลังจากที่ถอนฟันไปแล้ว ทันตแพทย์มักแนะนำให้คนไข้ใส่ฟันเพื่อรักษาระบบการบดเคี้ยวให้เป็นไปเหมือนเดิม มีหลายท่านที่ถอนฟันแล้วไม่ใส่ก็ย้ายไปเคี้ยวฝั่งตรงข้ามที่มีฟันเต็มๆ
3. มีฟันครบแต่ประสิทธิภาพในการตัดอาหารของทั้งสองข้างไม่เท่ากัน เรามักจะไปเคี้ยวยังด้านที่บดอาหารได้ดีกว่า อาจเป็นเพราะยอดฟันสึกจากที่เคยอุดฟันหรือใส่ฟัน Procela..มานานๆ วัสดุอุดฟันอาจจะสึกแตก ความคมของยอดฟันสูญเสียไป ก็เคี้ยวไม่ถนัดเมื่อเทียบอีกข้าง
4. โดยนิสัยของแต่ละคนที่ถนัดเคี้ยวข้างเดียว

การเคี้ยวข้างเดียวมีผลอย่างไร?
1. เกิดความไม่สมดุลย์ต่อการบดเคี้ยว โดยปกติแล้วหัวต่อขากรรไกรจะมีทั้งซ้าย,ขวา ทำหน้าที่คล้ายบานพับ อ้าปากหุบปาก หากมีการเคี้ยวข้างเดียวนานๆ มีผลทำให้เกิดอาการเจ็บบริเวณหัวต่อขากรรไกรได้
2. การเคี้ยวข้างเดียว มีผลทำให้ฟันข้างนั้นทำงานหนักมากขึ้น โอกาสจะเสียหาย,ฟันสึก,แตกมีมากขึ้น
3. กล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวด้านนั้นจะทำงานหนักมากขึ้น รูปขากรรไกรอาจดูไม่เท่ากัน กล้ามเนื้อด้านนั้นจะแข็งแรงและโตกว่าอีกข้าง

หากท่านเคี้ยวข้างเดียว จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ควรพบทันตแพทย์สาเหตุนั้นออก เพื่อให้ระบบบดเคี้ยวอยู่ในสภาพที่สมดุลย์ ลดการเสี่ยงต่อผลกระทบหรือสิ่งเสียหายที่มีต่อหัวต่อขากรรไกรและอวัยวะข้างเคียงได้

นักโภชนาการเตือน “เมนูสิ้นคิด” บริโภคซ้ำซากเสี่ยงโรคภัยถามหา !




จากชีวิตประจำวันของคนเราที่ต้องทำงานแข่งขัน กับเวลาส่งผลให้เกิดการบริโภคที่ซ้ำซากจำเจจนทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา มากมายนั้น นายสง่า ดามาพงศ์ นักโภชนากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวกับ “บางกอกทูเดย์” ว่า ปัจจุบันมักจะมีผู้คนนิยมบริโภคอาหารจานด่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาหารต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นอาหารขยะที่มีคุณค่าด้านโภชนาต่ำส่งผลให้เกิดอันตรายต่อ สุขภาพ

ทั้งนี้ นายสง่า กล่าวถึงเมนูสิ้นคิดโดยเฉพาะข้าวกระ เพราไก่ไข่ดาวว่า ถ้ามองในแง่บวกถือเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ ได้แก่ โปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมัน แร่ธาตุ วิตามิน แต่ก็ไม่ควรจะบริโภคติดต่อกันทุกวัน เนื่องจากการได้รับสารอาหารเดิมๆ ทุกวันนั้นก็จะเกิดผลเสียต่อร่างกายก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ

“ถ้าจำเป็นต้องทานอาหารง่ายๆ ชนิดเดิมๆ ทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมแนะนำว่าควรจะเพิ่มสัดส่วนอย่างอื่นไปในเมนูด้วย เช่น กระเพราไก่ไข่ดาว ก็อาจจะบอกกับแม่ค้าว่าให้เพิ่มผักชนิดอื่น เช่น ถั่วฝักยาว หรือ ข้าวโพด รวมทั้งไข่ดาวก็สลับกันกับไข่ต้ม และที่สำคัญคือต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดของภาชนะด้วย”

ด้านนางสาวรุ่งทิพย์ ภู่ทองคำ พนักงานบริษัทเอกชน กล่าวให้ความเห็นว่า ทุกวันต้องรีบออกจากบ้าน ดังนั้นจึงต้องพึ่งเมนูสิ้นคิดเพราะราคาถูก และไม่ต้องวุ่นวายกับการสั่งอาหาร และต้องรอนานด้วย ซึ่งตนสั่งรับประทานทุกวัน ส่วนกรณีที่นักโภชนาการมองว่าทานทุกวันไม่ดีต่อสุขภาพนั้นตนคิดว่าก็มีส่วนบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะสั่งทานอะไรเพราะชีวิตทุกวันก็วุ่นวายกับการทำงานอยู่แล้ว

5 อันดับ...เมนูสิ้นคิด!
“บางกอก ทูเดย์” ได้ทำการรวบรวม “เมนูสิ้นคิด”จำนวน 5 อับดับ พบว่ามีดังนี้

อันดับ 1 ข้าวกระเพราไก่+ไข่ดาว งานนี้ได้อันดับหนึ่งมาอย่างเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นสมกับเป็นเมนู อาหารสิ้นคิดจริงๆ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าแล้วทำไมต้องเป็นกระเพราไก่ไข่ดาวอันนี้คาดว่าเป็น อาหารที่ถูกปากคนไทยที่สุด ด้วยที่ว่ารสชาติออกแนว Hot &Spicy ถือเป็นเมนูพื้นฐานที่ทุกร้านอาหารตามสั่งต้องมี และแม่ครัวจะฝีมือแย่แค่ไหนก็ต้องทำได้อร่อย

อันดับ 2 ข้าวผัด ถือเป็นอาหารสุดยอดแห่งความไม่ครีเอทเอาเสียเลย เอาข้าวมาผัดแล้วใส่ใข่
ใส่เนื้อสัตว์อะไรก็ว่ากันไป ใส่ผักเขียวๆ ลงไปหน่อย ผัดไปผัดมาสองสามทีก็เสร็จแล้ว แต่บางคนอาจจะชอบข้าวผัดเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าไปเจอร้านที่ผัดข้าวผัดได้อร่อยเหาะจริงๆ ข้าวผัดที่อร่อยต้องเป็นข้าวที่ผัดออกมาแล้วไม่แฉะ เม็ดข้าวขาวนวล ผัดร้อนๆ ยกเสิร์ฟบีบมะนาวใส่ แล้วราดด้วยพริกน้ำปลา

อันดับ 3 ข้าวไข่เจียว สิ้นคิดเข้าไปเรื่อยๆ กับเมนูนี้ นึกอะไรไม่ออกก็เอาล่ะ ข้าวไข่เจียวก็ได้ง่ายสุด ความเสี่ยงต่ำและประกันความอร่อย เพราะถ้าร้านอาหารตามสั่งร้านไหนทำไข่เจียวไม่อร่อยก็ไม่รู้จะพูดยังไง แล้วอย่างอื่นก็อย่าไปกินมันเลย เป็นเมนูเพลย์เซฟอย่างดีสำหรับคนเมือง แต่ก็สิ้นคิดจริงๆ

อันดับ 4 ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทย อันนี้เป็นเมนูสิ้นคิดที่สาวๆ มักชอบสั่งคิดว่าคงเป็นเพราะความอร่อยของเนื้อหมูที่เอามาทอดในซอสน้ำมันหอย คลุกกับพริกไทย เสร็จแล้วเอามาโปะกับข้าวสวยร้อนๆ กินกับแตงกวา ถ้าอยากเพิ่มความพิเศษให้กับเมนูอาจจะสั่งไข่ดาวมาเพิ่มได้ถ้ากินกลางวันก็อิ่มไปถึงเย็นเลย

อันดับ 5 ผัดผักราดข้าว เมนูนี้มีตั้งแต่คะน้าหมูกรอบ กระเฉดหมูกรอบ ผักบุ้งหมูกรอบ บางคนไม่กินหมูก็อาจจะเปลี่ยนเป็นไก่ได้ ผัดผักราดข้าว เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมในระดับต้นๆ เช่นกัน

ความรัก


ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน
ความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคน เพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????